Google
 

FREE STREET FIGHTER II GAME

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2551

คำต่อคำ!แถลงการณ์ ทักษิณแจกสื่อนอก ประจานไทยทั่วโลก

คำต่อคำ!แถลงการณ์ ทักษิณแจกสื่อนอก ประจานไทยทั่วโลก





คำต่อคำ!แถลงการณ์ ทักษิณแจกสื่อนอก ประจานไทยทั่วโลก



ทักษิณ กลับลำ ออกแถลงการณ์แจกสื่ออังกฤษ เพื่อฟ้องทั่วโลก ระบุถูกศาลไทยตัดสินว่าผิด เพราะเป็น นักการเมือง

ทักษิณ กลับลำ ออกแถลงการณ์แจกสื่ออังกฤษ เพื่อฟ้องทั่วโลก ระบุถูกศาลไทยตัดสินว่าผิด เพราะเป็น นักการเมือง โวยถูกหาว่าเป็นภัยคุกคามชนชั้นสูงที่มีอภิสิทธิ์ ย้ำเป็นตัวแทนของหลักการประชาธิปไตยเสรี-คนยากจน ชวน จี้รัฐบาลยึดเครื่องราช-พาสปอร์ตคืน อภิสิทธิ์ จี้นำ แม้ว กลับ

จดหมายแถลงการณ์ของ ทักษิณ ที่แจกสื่อมวลชนต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ)

Woodsome Manor
Surrey, England

22 of October, 2008

Dear My Friends in International Media,

I am writing to you today to clarify few facts, The news headlines have reported that I have been convicted of corruption for two years stemming from the purchase of land by my wife, Khunying Potjaman Shinawatra.

What you have read is true, I was convicted for two years, but not because of corruption charge. The only reason I was sentenced to Jail is because at the time my wife bought the land through the open bid, I was the Prime Minister.

I listened to the judgment yesterday and even now I am still confused ; there is no evidence of fraud, corruption nor abuse of power in relation to the bid in question; my wife was the one who in volved and made decision to bid for the land, offered a lot more seller, Financial Instit ution Development Fund (FIDF), than other bidders, signed the contract with the seller, paid for the land with no involvement from her husband except when he was required to sign a spousal consent form, In terms of any alleged influence I may have had no direct supervisory power over the FIDF. Interestingly, the Court did not find the sale transaction of my wife unlawful or illegal, they did not convict her because she is not a politician; nevertheless, I was . I trust that you will independently verify the above facts as professional journalists often do. Unfortunately, most of you professsional colleagues in Thailand refuse to do so.

The best. I can comprehend is that I was convicted simply because I was a politician . In that case I was quite guite guilty cause I was quite a successful politician, I got elected twice by the majority of thai people as Prime Minister.

If I were to be guilty of anything, that would be what I have shown to the Thai people, especially those underprivileged rural thais that they can, and have the right to, demand their government to provide effective policy and programs to improve their lives.

I received this judgment with mixed feeling; relief for my wife as I pulled her into enough troubles because of my politcal ambition to bring greatness and well-being to my country and my people, amused and bitter with the illogical of the judgment, and worry for those politicians in Thailand that they could go to jail simply because their unhappy spouses may sought to manipulate the law.

For those of you who may not be too familiar with Thailand, state offices and enterprises in Thailand are doing so many businesses from telecommunication, banking, power generator or even owning gas stations.

I do not know should I laugh or cry to see the direction Thailand is moving forward: a democratically elected leader was put out of job because he cooked on a TV show but those who unlawfully trespassed and occupying the government house got protection from the Court.

Whatever happen to me is a political driven actions collaborated by various group of privileged elites who believe in anything but democracy. I am a threat to them because I represent the principle of liberal democracy which promote hope and pride of the poor of my country.

Thailand is and will remain a great and beautiful country. Few people cannot face the face,obstructing the will of majority of the people. I believe that at the end Thai people will win over this struggle. And the end of their nightmare is not far.

I thank you for the opportunity to share the facts with you.

Truly Yours,

Dr. Thaksin Shinawatra

.....................................

คำต่อคำ แถลงการณ์ ทักษิณ แจกสื่อนอกประจานไทยทั่วโลก (คำแปล)

วูดซัม แมเนอร์
เซอร์เรย์, อังกฤษ
22 ต.ค. 51

เรียน เพื่อนสื่อมวลชนต่างประเทศ

สิ่งที่ผมกำลังเขียนถึงพวกคุณในวันนี้เพื่อให้ความกระจ่างในข้อเท็จจริงบางอย่าง ข่าวพาดหัวที่มีการรายงานว่าผมถูกตัดสินว่ามีความผิดจากการทุจริตต้องโทษจำคุก 2 ปีจากการซื้อที่ดินของภรรยาผม, คุณหญิงพจมาน ชินวัตร

สิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้คือความจริง ผมถูกตัดสินโทษจำคุก 2 ปี ไม่ใช่เพราะข้อหาทุจริต เหตุผลเดียวที่ผมถูกสั่งจำคุก เพราะในช่วงเวลาที่ภรรยาของผมซื้อที่ดินโดยการเปิดประมูลนั้น ผมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ผมได้ฟังคำตัดสินเมื่อวันก่อนและจนถึงตอนนี้ ผมยังคงสับสน เพราะไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีการฉ้อฉล คอร์รัปชั่น หรือกระทั่งการใช้อำนาจในทางมิชอบที่เกี่ยวเนื่องกับประมูล คำถามคือ ภรรยาของผมเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องและตัดสินใจยื่นประมูลที่ดินดังกล่าว เป็นผู้ยื่นเสนอราคาจำนวนมากแก่ผู้ขายซึ่งคือ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน มากกว่าผู้ยื่นประมูลรายอื่นๆ เป็นผู้เซ็นสัญญาซื้อขายกับผู้ขาย จ่ายเงินค่าที่ดินโดยที่สามีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆเลย ยกเว้นเมื่อต้องเซ็นชื่อยินยอมในเอกสาร

ในแง่ของข้อกล่าวหาเรื่องอิทธิพลอำนาจที่ผมอาจมีเหนือกองทุนฟื้นฟูฯ มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องชี้ให้เห็นว่าคณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีไม่ได้มีอำนาจควบคุมโดยตรงเหนือกองทุนฟื้นฟูฯ เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งที่ศาลไม่ได้พบว่าการซื้อขายที่ดินของภรรยาผมมีอะไรที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือเป็นการกระทำนอกกฎหมาย เขาไม่ได้ตัดสินว่าเธอมีความผิด เพราะเธอไม่ใช่นักการเมือง แต่ผมเป็น ผมเชื่อว่าพวกคุณจะตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เหลืออย่างอิสระเยี่ยงผู้สื่อข่าวมืออาชีพปฏิบัติกัน แต่น่าเสียดายที่เพื่อนร่วมอาชีพของคุณส่วนใหญ่ในประเทศไทยปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น

สิ่งที่ผมจะสามารถทำความเข้าใจได้ดีที่สุดก็คือ ผมถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงอย่างง่ายๆ เพียงเพราะผมเป็นนักการเมืองคนหนึ่งเท่านั้นเอง ผมผิดเพราะผมเป็นนักการเมืองที่ประสบความสำเร็จ ผมได้รับเลือกตั้งขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีถึงสองสมัยเพราะเสียงส่วนใหญ่จากประชาชน

ถ้าหากผมจะมีความผิดอะไรสักอย่าง นั่นก็คงเป็นสิ่งที่ผมได้แสดงออกมาให้ประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยกลุ่มที่อยู่ในชนบทและไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ ได้เห็นว่าพวกเขาสามารถเรียกร้องและมีสิทธิเรียกร้องให้รัฐบาลของพวกเขาจัดทำนโยบายที่มีประสิทธิภาพและทำโครงการต่างๆที่จะยังผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้น

ผมยอมรับคำตัดสินนี้ด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกัน รู้สึกโล่งใจสำหรับภรรยาที่ผมดึงเธอเข้าไปสู่ความยากลำบากมากทีเดียว เพราะความทะเยอทะยานทางการเมืองของผมในการที่จะนำความยิ่งใหญ่และความเป็นอยู่ที่ดีมาสู่ประเทศและประชาชนของผม ทั้งรู้สึกนึกขัน ปนขมขื่นกับคำตัดสินที่ไร้เหตุผล และรู้สึกกังวลแทนนักการเมืองในประเทศไทยว่า พวกเขาสามารถเดินเข้าคุกไปได้ง่ายๆเพียงเพราะภรรยาที่โชคร้ายของพวกเขาพยายามทำตามกฎหมาย

สำหรับพวกคุณที่อาจไม่คุ้นเคยกับประเทศไทย ภาครัฐและภาคเอกชนในไทยที่กำลังดำเนินธุรกิจหลายๆ ด้าน ตั้งแต่ สื่อสารโทรคมนาคม ธนาคาร ไฟฟ้าหรือแม้กระทั่งปั๊มน้ำมัน

ผมไม่ทราบว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับทิศทางที่ประเทศไทยกำลังมุ่งไป ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยถูกขับพ้นจากตำแหน่ง เพียงเพราะว่าเขาทำรายการโทรทัศน์ แต่กลุ่มคนที่ล่วงละเมิดผิดกฎหมายและยึดครองทำเนียบรัฐบาลกลับได้รับความคุ้มครองจากศาล

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผม ล้วนแต่เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงขับเคลื่อนทางการเมือง ซึ่งเป็นการสมคบกันของ บรรดาชนชั้นสูงที่มีอภิสิทธิ์ทั้งหลาย ผู้เชื่อในทุกสิ่งอย่าง ยกเว้นประชาธิปไตย ผมเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขา เพียงเพราะผมเป็นตัวแทนของหลักการแห่งระบอบเสรีประชาธิปไตย ซึ่งส่งเสริมความหวังและความภาคภูมิใจของคนยากคนจนในประเทศของผม

ประเทศไทยเป็นและจะยังคงเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่และสวยงาม คนจำนวนไม่มากที่ไม่สามารถเผชิญกับความจริงได้ กำลังขัดขวางเจตจำนงของคนส่วนใหญ่ ผมเชื่อว่าในท้ายที่สุดพี่น้องชาวไทยจะเป็นผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ และการสิ้นสุดของฝันร้ายอยู่ไม่ไกล

ผมขอขอบคุณที่ให้โอกาสผมได้ร่วมแบ่งปันข้อเท็จจริงกับคุณ

ด้วยความนับถือ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร


พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อดีตนายกรัฐมนตรี

แม้ว ร่อนแถลงการณ์ฟ้องโลก

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ออกแถลงการณ์ถึงสื่อมวลชนในอังกฤษ ลงสถานที่อยู่เป็นบ้านพักชั่วคราวในเมืองเซอร์เรย์ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน กล่าวอ้างว่า การตัดสินลงโทษจำคุกตนเป็นเวลา 2 ปี นั้นมีมูลเหตุจูงใจมาจากการเมือง และระบุว่า หลังจากที่ได้รับทราบคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วรู้สึกสับสน

"ผมยังคงสับสน เพราะไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีการฉ้อฉล คอร์รัปชั่น หรือกระทั่งการใช้อำนาจในทางมิชอบ" จดหมายดังกล่าวระบุ และว่า "ผมถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงง่ายๆ เพียงเพราะผมเป็นนักการเมืองคนหนึ่งเท่านั้นเอง"

พ.ต.ท.ทักษิณระบุไว้ในจดหมายดังกล่าวว่า ดูเหมือนศาลไม่ได้พบว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นในกระบวนการซื้อที่ดินของคุณหญิงพจมาน ภรรยาของตนแต่อย่างใด

"น่าสนใจอย่างยิ่งที่ศาลไม่ได้พบว่าการซื้อขายของภรรยาของผมมีอะไรที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือเป็นการกระทำนอกกฎหมาย ศาลไม่ได้ตัดสินว่าเธอมีความผิดเพราะเธอไม่ได้เป็นนักการเมือง ในขณะที่ผมเป็น"

พ.ต.ท.ทักษิณระบุต่อไปด้วยว่า "ถ้าหากผมจะมีความผิดอะไรสักอย่าง นั่นก็คงเป็นสิ่งที่ผมได้แสดงออกมาให้ประชาชนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยกลุ่มที่อยู่ในชนบทและไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ ได้เห็นว่าพวกเขาสามารถเรียกร้องและมีสิทธิ เรียกร้องให้รัฐบาลของพวกเขาจัดทำนโยบายที่มีประสิทธิภาพและทำโครงการต่างๆ ที่จะยังผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้น"

ถูกหาเป็นภัยคุกคามชนชั้นสูง

อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนเองเป็นตัวแทนของสิ่งที่ถูกถือว่าคือ "ภัยคุกคาม" ของบรรดาชนชั้นสูงที่มีอภิสิทธิ์ทั้งหลายซึ่ง "เชื่อถือในทุกอย่าง ยกเว้นประชาธิปไตย" ด้วยเหตุที่ว่า "ผมเป็นตัวแทนของหลักการประชาธิปไตยเสรี ที่ส่งเสริมความหวังและความภาคภูมิใจในกลุ่มคนยากจนในประเทศของผม"

พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวถึงอนาคตของประเทศไทยไว้ว่า "ผมไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับทิศทางที่ประเทศของไทยกำลังเคลื่อนไป" แต่ยืนยันว่า "ไทยยังคงเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่และสวยงามอยู่ต่อไป" และประชาชนของประเทศนี้จะ "ได้ชัยชนะในการดิ้นรนต่อสู้ครั้งนี้"

นอกจากนั้นแล้ว อดีตนายกรัฐยังแสดงความเสียใจต่อการที่อดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะการทำหน้าที่เป็นพิธีกรในรายการโทรทัศน์อีกด้วย

อนึ่ง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ต.ท.ทักษิณได้ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศว่าจะไม่ออกแถลงการณ์แล้ว แต่จะโทรศัพท์ทางไกลจากต่างประเทศมายังกิจกรรม "ความจริงวันนี้ ต้านรัฐประหาร" ที่จัดขึ้นที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ในวันที่ 1 พฤศจิกายนแทน

ชวน จี้รัฐบาลยึดเครื่องราชฯ-พาสปอร์ต

นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวระหว่างลงพื้นที่ช่วยนายวัชระ เพชรทอง หาเสียงเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. กรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 2 ปี ในความผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) มาตรา 100 ในคดีประมูลซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ถึงการการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะต้องคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์และหนังสือเดินทาง ว่า เป็นเรื่องที่มีกฎเกณฑ์อยู่แล้ว อยากให้รัฐบาลทำแบบตรงไปตรงมา อย่าเกรงใจใคร

อย่างไรก็ตาม นายชวนปฏิเสธวิจารณ์ถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณเตรียมต่อสายตรงผ่านรายการความจริงวันนี้ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน โดยระบุว่า เป็นสิทธิของบุคคลที่สามารถพูดได้ แต่ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องชี้แจงให้สังคมเข้าใจ โดยชี้แจงให้รับทราบขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรม เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ปกป้องความชอบธรรมในบ้านเมือง หากไม่ดำเนินการก็ถือว่าบกพร่อง

โฆษกเชื่อพร้อมคืนเครื่องราชฯ

ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีกระแสที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อาจจะต้องคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เนื่องจากศาลพิพากษาจำคุกว่า หากระเบียบหลักเกณฑ์กำหนดไว้ดังนั้น และ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดเข้าข่าย ซึ่งจะต้องคืนเครื่องราชฯ ก็คงต้องว่ากันไปตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาดูจากความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เกิดจากการคอร์รัปชั่น แต่เป็นความผิดตามกฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวพันกับภริยา ดังนั้น ใครเปิดประเด็นและพยายามโยงเพราะต้องการจะเหยียบซ้ำ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ทำได้

ทนายลุ้นคดีอื่นไม่ซ้ำรอย ที่รัชดาฯ

นายคำนวณ ชโลปถัมภ์ หนึ่งในทีมทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 278 ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาแผนกอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ 2 ปี ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสานงานจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะมอบหมายให้ทีมทนายความชุดเดิมเป็นผู้ดำเนินการอุทธรณ์หรือไม่ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณมีทนายความอยู่หลายคณะ ถ้าได้รับการมอบหมายมา ทีมทนายความก็จะประชุมเพื่อพิจารณาเนื้อหาของคำพิพากษาต่อไป โดยขณะนี้ตนได้ขอคัดสำเนาสำนวนจากศาลฎีกาฯ แล้ว แต่ขั้นตอนการคัดสำเนาอาจจะใช้เวลาซักระยะ เนื่องจากตุลาการเจ้าของสำนวนได้เขียนคำพิพากษาด้วยลายมือ ตอนนี้จึงอยู่ขั้นตอนการพิมพ์ของฝ่ายธุรการ

"เราต้องนำคำพิพากษากลางและคำพิพากษาส่วนตนของผู้พิพากษามาอ่านอย่างละเอียดเพื่อวินิจฉัยถ้อยคำและตัวบทที่ศาลอ้าง โดยเฉพาะการตัดสินด้วยคะแนน 5 ต่อ 4 ของผู้พิพากษาในประเด็นความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ และประเด็นการตัดสินด้วยคะแนน 7 ต่อ 2 ในประเด็นของคุณหญิงพจมาน (ชินวัตร) เพื่อเอามาวิเคราะห์ให้ชัดเจน ส่วนกระบวนการอุทธรณ์นั้น ตอนนี้คงต้องรอการประสานจาก พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะให้ทนายความทีมใดเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 278 ระบุว่าหากผู้ต้องคำพิพากษามีหลักฐานใหม่ก็เปิดโอกาสให้อุทธรณ์ไปยังที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายใน 30 วัน" นายคำนวณกล่าว

"ไม่คิดว่าคำพิพากษาของคดีที่ดินรัชดาฯ จะทำให้ผลของคดีทุกคดีเป็นไปในทางเดียวกัน เพราะข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแต่ละคดีไม่เหมือนกัน ซึ่งการที่คิดว่าพอศาลตัดสินจำคุกคดีนี้แล้วทุกคดีจะเหมือนกันก็คงจะเป็นแต่ความรู้สึกเท่านั้น แต่คงไม่ใช่วิถีทางแห่งคดีที่จะต้องเป็นแบบนั้น" นายคำนวณกล่าว

อภิสิทธิ์ จี้รบ.ขึงขังนำ แม้ว ลับ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผ้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยนั้นว่า แม้จะเป็นหน้าที่อัยการสูงสุด และเวลานี้อยู่ในขั้นตอนการขอตัวผู้ร้ายข้ามแดน ถ้ารัฐบาลจะต้องแสดงออกถึงความจริงใจ ในการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและเสมอภาคเหมือนกับคนไทยอื่นๆ ก็จะสามารถลดความรู้สึกของคนจำนวนหนึ่งได้

ส่วนการที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเปิดใจผ่านกิจกรรมของรายการ "ความจริงวันนี้" ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่สนามราชมังคลากีฬาสถานนั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะพูดเรื่องอะไรบ้าง แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือการยอมรับคำตัดสินของศาล หากพูดอย่างอื่น อาจสร้างความขัดแย้งในสังคม และดึงสถาบันตุลาการมาสู่ความขัดแย้งทางการเมือง ส่วนการเปิดใจจะทำให้ปัญหาบ้านเมืองรุนแรงขึ้นหรือไม่ อยู่ที่ท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ หากต้องการให้บ้านเมืองไปข้างหน้าได้ ควรละเว้นประโยชน์ตัวเอง เอาบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง ปัญหาก็จะไม่เกิด แต่ถ้ายังมีการปลุกระดม หรือมีความพยายามสร้างความเสื่อมเสียให้กับประเทศ คนที่ได้รับผลกระทบคือคนไทยทั้งประเทศ

"คุณทักษิณอยู่ทางโน้นแต่คนในประเทศเดือดร้อน กับความขัดแย้งที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น และมีความพยายามลากสถาบันต่างๆ มาสู่ความขัดแย้ง ดังนั้น ควรเห็นใจคนที่อยู่ในประเทศ ที่จะต้องแบกรับผลพวงต่างๆ ที่เกิดขึ้น และถ้าอยากแสดงความจริงใจต่อบ้านเมือง ก็ต้องยอมรับคำตัดสินของศาล เชื่อว่าหลังจากนี้สังคมจะให้ความยุติธรรมกับคุณทักษิณเอง ขออย่าเอาปัญหาของตัวเอง มาเป็นปัญหาของบ้านเมือง" นายอภิสิทธิ์กล่าว

ข่าวจาก มติชน

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สรุปข่าวร้อน ข่าวฉาว วงการบันเทิง ปี'50

สรุปข่าวร้อน ข่าวฉาว วงการบันเทิง ปี'50



ช่วงปีที่กำลังจะผ่านไปเรียกได้ว่าวงการบันเทิงไทยไม่มีเดือนไหนที่ “เงียบเหงา” เพราะเหล่าบรรดา “คนดัง” ยังมีข่าวฮอต ๆ ร้อน ๆ ให้ตื่นเต้นกันตลอดที่นี่จึงมี “ข่าวร้อน” ข่าวเด่นปี 50 มาสรุปว่าเป็นประการใด

‘รัก สาม เส้า’ ของ เรา สาม คน



ข่าวดังข่าวร้อนที่สุดแห่งปี แน่นอนข่าวนี้สนั่นไปทั้งวงการเรื่อง “รักสามเส้า” ของคนดัง กับคำว่ามนต์ขลัง “มินิคูเปอร์” ที่กลาย มาเป็นคำฮิตของคนในวงการไปด้วยเมื่อ “เมย์-เฟื่องอารมย์” ควงเพื่อนซี้ “อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ” ทวงรถ คืนจาก “เข็ม ตีสิบ” ณ ลานจอดรถห้างดังเอ็มโพเรียมโดยมี “หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย” เป็นผู้ก่อชนวนที่ทำให้สองสาวคนดัง “เมย์และอั้ม” ต่างเจ็บตัวกันไปคนละนิดคนละหน่อยส่วนหนุ่มนักรักอย่าง “หนุ่ม-กรรชัย” ถึงกับออกอาการ “น้อยอกน้อยใจ” จนแทบจะบอกลาวงการหากแฟน ๆ “รับไม่ได้” แต่ในที่สุดข่าวคืบหน้ารายงานว่า “หนุ่ม-กรรชัย” ไปทำการพูดคุยกับครอบครัว “เมย์-เฟื่องอารมย์” แล้วส่วนจะเลิก “เจ้าชู้” และเข้าประตู “วิวาห์” กับ “สาวเมย์” ตามกระแสข่าวลือที่กระฉ่อนในตอนนี้หรือไม่นั้น ต้องติดตามกันต่อไป


ปิด ตำนาน ‘ดี ทู บี’ ‘บิ๊ก’ ลา โลก




รองอันดับ 1 ข่าวนี้ต้องยกให้กับ “หนุ่มบิ๊ก ดีทูบี” อดีตนักร้องวัยรุ่นชื่อดังที่ประสบอุบัติเหตุ “รถตกคลอง” เมื่อ 22 กรกฎาคม 2546 จากนั้นก็กลายเป็น “เจ้าชายนิทรา” เป็นเวลานานถึง 4 ปี แล้วในที่สุดเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา “บิ๊ก ดีทูบี” หรือ “อภิเชษฐ” ที่ต่อมาเปลี่ยนเป็น “ปาณรวัฐ กิตติกรเจริญ” ก็สิ้นลมอย่างสงบส่งผลให้บรรดา “แฟนคลับ” ต่างแห่ไปจุดเทียน “ไว้อาลัย” สว่างไสวทั่ววัดและครอบครัวของ “บิ๊ก ดีทูบี” ถือเป็นเกียรติแก่ครอบครัวเมื่อ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ และ พระองค์หญิง ทั้งสองพระองค์ ทรงพระราชทานพวงมาลาวางหน้าหีบศพที่ตั้งบำเพ็ญกุศล ณ วัดหนามแดง พร้อมทั้งรับศพไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และทางครอบครัวได้นำศพเก็บไว้ 100 วัน โดยจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 20 มีนาคม 2551 เวลา 17.00 น.


‘ศรราม’ ซิ่ง บี เอ็ม ชน คน ดับ




รองอันดับ 2 ข่าวนี้เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 21 มิถุนายน เมื่อพระเอกชื่อดัง “ศรราม เทพพิทักษ์” เกิดหลับในขับรถชนคนตายกลางสี่แยกโดย “พระ เอกชื่อดัง” มีอาการบาดเจ็บที่หน้าอกต้องเข้ารักษาตัวที่ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ หลายวันก่อนจะไปเคารพศพส่วนด้านคดีนั้นศาลตัดสินให้ จำคุก 3 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท แต่พระเอกให้การสารภาพและยอมชดใช้เงินให้กับญาติคนตาย รวมทั้งจ่ายค่าเสียหายตู้โทรศัพท์สาธารณะและต้นไม้ข้างทาง ศาลจึงลดโทษให้ครึ่งหนึ่งเหลือ จำคุก 6 เดือน ปรับหนึ่งหมื่นบาท โดยต้องไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่คุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายใน 1 ปีและบำเพ็ญประโยชน์ช่วยงานกรมราช ทัณฑ์รณรงค์โครงการ “ง่วง ไม่ขับ” เป็นเวลา 48 ชั่ว โมง ซึ่งข่าวนี้ก็ทำเอาแฟนละครของ “พระเอกนักอำ” ขำกันไม่ออกไปเลยทีเดียว


ศึก รักคน ดัง ‘ทา ทา–ภราดร’




รองอันดับ 3 อย่างที่รู้กันว่านักร้องอินเตอร์ “ทาทา ยัง” และนักเทนนิสชื่อดัง “ภราดร ศรีชาพันธุ์” ที่เคยกุ๊กกิ๊กกันมาก่อนที่จะ “แยกทางกันเดิน” แล้วทั้งคู่ก็ไปเจอรักแท้ของแต่ละคน เลยกลายเป็นเรื่องที่ถูกจับตามองมากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องงาน “หมั้น” พร้อม “งานแต่ง” ซึ่ง วันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมาเป็นวัน “รับหมั้น” ของนักร้องสาว “ทาทา ยัง” กับ “เปรม บุษราคัมวงษ์” สินสอดของคู่นี้ข่าวว่าเกือบ “ร้อยล้าน” เลยทีเดียว ส่วนทางด้านอดีตคนเคยรัก “ภราดร ศรีชาพันธุ์” ก็ควงคนรัก “นาตาลี” อดีตนางงามจักรวาลเข้าพิธีแต่งงานตามหลัง “วันหมั้น” ของทาทาในไม่กี่วันโดยจัดงานแต่ง “ยิ่งใหญ่อลัง การ” ไม่แพ้กันเลยเรียกว่า “งานของแต่ละฝ่าย” เรียกว่าช้างยังอายเพราะมักจะถูกผู้คนนำไปเปรียบเทียบกันนั่นเอง


‘เต๋า’ เคลียร์ ได้



รองอันดับ 4 ต้องยกให้พ่อม่ายเลือดร้อนคนนี้ “เต๋า-สมชาย เข็มกลัด” เพราะมีเรื่องชกต่อยกับวัยรุ่นกลางสี่แยก เมืองเชียงใหม่ ข่าวนี้ช่วงแรกต่างฝ่าย ต่างยืนยัน “ไม่มีการยอมความ” แต่สุดท้ายทั้ง “เต๋า” และ “คู่กรณี” ก็หันหน้ามา “จับมือกัน” เมื่อมีผู้ใหญ่ที่เคารพเข้ามาไกล่เกลี่ยไม่งั้นเรื่องนี้ยัง “จบไม่ลง”


‘ตั๊กแตน’ ทำ ‘จั๊ก จั่น’ เป็น งง




รองอันดับ 5 ที่เรียกว่าเหตุเกิดเพราะความมีน้ำใจงามของนางเอกสาวจั๊กจั่น “อคัมย์สิริ สุวรรณศุข” ที่มีต่อ “นายเด่น ศรีจันทร์” หนุ่มคนนี้แกล้งทำเป็นใบ้ขาย “ตั๊กแตนสาน” และบอกว่ากำลังหาเงิน “รักษาคุณแม่” ที่เป็นเบาหวานแต่สุดท้ายก็ถูกจับได้ว่า “นายเด่น” เสแสร้งแกล้งทำเล่นเอา “นางเอกน้ำใจงาม” ของเราถึงกับ “ช็อก” เพราะโดนหลอกเต็ม ๆ กลายเป็น “ดาราข่าวหน้าหนึ่ง” เป็นครั้งที่ 4 ในรอบปี


ไม่ หมด ลาย ‘คาส โน ว่า’



รองอันดับ 6 ก็ต้องยกให้นักแสดง ไฮโซ “ฟลุค-เกริกพล” เป็นข่าวคาราคาซังมาถึง 2 ปีในที่สุดเรื่องก็ “แตกดังโพละ” เมื่อฝ่ายชายเจ้าของฉายา “คาสโนว่า” ออกมาเปิดเผยเองเรื่อง “เตียงหัก” กับภรรยาที่ชื่อ “สาวโบ-ชญาดา” ที่แม้ “ฝ่ายหญิง” ไม่ได้ออกมา “ยอมรับ” แต่ก็มีภาพยืนยันหลุดทั่วทั้ง “อินเทอร์ เนต” และแม้คู่นี้จะยังไม่ได้ “หย่าอย่างเป็นทางการ” ก็บอกได้ว่าโอกาสจะกลับมา “หวานเหมือนเดิม” นั้นยากทีเดียว


‘นก’ ข้า ใคร อย่า แตะ




ข่าวฉาวข่าวดังรองอันดับ 7 ส่งท้ายปลายปี ก็ยังมีเรื่องตื่นเต้นให้เร้าใจกัน เมื่ออยู่ ๆ หนังสือพิมพ์บันเทิงฉบับหนึ่งพาดหัวยักษ์ว่า “สองนก” คู่สามีภรรยาที่รักกันมานานหลายปี “เตียงหัก” โดย “นกชาย” ขนข้าวของไปพึ่งพาอาศัยอยู่กับผู้จัดละครคนดัง “ไก่-วรายุธ” ข่าวนี้พอถูกเปิด “พี่ไก่” ของเราเลยเต้นเป็น “เจ้าเข้า” ถึงขั้นบุกสำนักงานหนังสือฉบับนั้นทันทีชนิด “ไม่กลัวใคร” แต่พอไปถึงผู้รับผิดชอบ “สื่อสิ่งพิมพ์” หายหน้ากันหมดทั้งกองบรรณาธิการต่อมาอีกสองวัน “ไก่-วรายุธ” ประกาศฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย 30 ล้าน แต่จะไกล่เกลี่ยกันได้หรือไม่นั้นต้องติดตามกันต่อไป


‘น้อง จิน’ แอ๊บ แบ๊ว แต่ง งาน แล้ว จ้า



อันดับสุดท้าย ข่าวนี้ขอบอกว่า “เซอร์ไพร้ส์” ปลายปีจริง ๆ สำหรับนักร้องสาวเสียงพิณ “จินตหรา พูนลาภ” ที่อยู่ ๆ ก็มีเรื่อง “แตกดังโพละ” เมื่อบัตรประชาชนของ “สาวจิน” ที่น่าจะใช้คำว่า “นางสาว” นำหน้ากลับใช้คำว่า “นาง” แทนงานนี้เลยเล่นเอาบรรดาแฟน ๆ “หมอ ลำ” ถึงกับอึ้งตะลึงตึงตังเพราะไม่เคย ได้ยินว่า “สาวจิน” แต่งงานแล้วพอข่าวหลุดออกมาคนจึงได้รู้กันทั่ว “ผู้เป็นสามี” ที่แท้ก็คือ “ผู้จัดการส่วนตัว” ที่อยู่เคียงข้างกันมานาน “หลายสิบปี” แล้วนั่นเองแฟน ๆ เลยตั้งฉายา “สาวหมอลำขี้ตั๋ว” ให้ใหม่ช่วงท้ายปีไปเพราะ “ปิดข่าวเก่งจัง”.

BSA บอกมีชื่อ 100 บริษัทในมือ ขีดเส้น15ต.ค.จับแน่ถ้าไม่เลิกใช้ซอฟต์แวร์ผี



BSA บอกมีชื่อ 100 บริษัทในมือ ขีดเส้น15ต.ค.จับแน่ถ้าไม่เลิกใช้ซอฟต์แวร์ผี



กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี
(บก. ปศท.) และกลุ่มพันธมิตรธุรกิจซอฟต์แวร์ (บีเอสเอ) ร่วมกันประกาศ ให้เวลาองค์กรที่ใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนกลับใจภายใน 30 วันนี้ ไม่เช่นนั้น ตำรวจทุกฝ่ายจะดำเนินการกับองค์กรอย่างเข้มงวดหลังวันที่ 15 ตุลาคม ย้ำชัดไม่ได้ขู่ แต่มีชื่อบริษัทในมือแล้วกว่า 100 บริษัท และเปอร์เซ็นต์ ผิดพลาดจากประวัติการจับกุมมีน้อยมาก

หลังจากบีเอสเอโหมเผยแพร่ความรู้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับกฎหมาย
ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ร่วมกับกรมทรัพย์สินทางปัญญามานาน ล่าสุดบีเอสเอ
แถลงข่าวเปิดตัวโครงการป้องปรามซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ครั้งใหม่นำโดย
บก. ปศท. ว่าบีเอสเอได้ขอความร่วมมือจาก บก.ปศท. ในการดำเนินคดีตาม
กฎหมายต่อผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในองค์กร อย่างจริงจัง ในวันที่ 15
ตุลาคมนี้ ก่อนจะลงมือจับกุมจึงต้องการประกาศเตือนว่า องค์กรธุรกิจยังมี
ีระยะเวลาในการ ปรับเปลี่ยนมาใช้ซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องอีก 30 วัน

“ครั้งนี้ถือเป็นการเตือนให้องค์กรธุรกิจได้รับทราบอีกครั้งหนึ่งว่า จำเป็นต้อง ปฏิบัติตามกฎหมาย ให้การติดตั้งและใช้งานซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ยุติลง”
พ.ต.อ. ศรายุทธ พูลธัญญะ รองผู้บังคับการ บก.ปศท. กล่าว โดยบอกว่า พอใจกับผลการดำเนินงานปราบปรามซอฟต์แวร์เถื่อนในช่วงครึ่งปีแรก
และเชื่อว่าจะทำได้ดียิ่งขึ้นไปอีกในครึ่งปีหลัง

“ตำรวจจะบังคับใช้กฎหมายกับองค์กรและผู้บริหารขององค์กรนั้นอย่างจริงจัง เพื่อให้ได้ตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ ซึ่งมีทั้งจำคุกและปรับในอัตราที่สูง”

ประชาสัมพันธ์ของบีเอสเอให้ข้อมูลว่า ขณะนี้บีเอสเอมีรายชื่อในมือประมาณ 100 บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการตรวจ สอบเบาะแสหลักได้มาจากสายด่วนรายงานการใช้ซอฟต์แวร์ผิดลิขสิทธิ์ในองค์กรที่บีเอสเอเพิ่งปรับเพิ่มเงินรางวัล
สูงสุด 500,000 บาทจาก 250,000 บาทเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาโดยเบาะแสเหล่านี้มีการตรวจสอบอย่างละเอียด ก่อนลงมือจับกุม ซึ่งสถิติการจับกุมที่ผ่านมากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ไม่ผิดพลาด

การจับกุมของบีเอสเอในปีนี้ ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงสิงหาคมนั้นกระจายตัวอยู่ในกทม. เชียงใหม่ อยุธยา และเมือง นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อย่าง ชลบุรีและฉะเชิงเทรา ทั้งหมดประมาณ 40 บริษัท มูลค่าความเสียหายซอฟต์แวร์ มากกว่า 125 ล้านบาท

มร. ดรุณ ซอว์นีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ ประจำภูมิภาคเอเชียของบีเอสเอกล่าวเสริมด้วยว่า “ความเป็นจริงคือ แม้กระทั่งซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดยบริษัทคนไทย ราคาเพียง 199 บาทก็ยังพบว่าถูกละเมิด และ ใช้กันทั่วไปในองค์กรธุรกิจ นี่เป็นการเตือนล่วงหน้า 30 วันให้ธุรกิจเคารพสิทธิด้านทรัพย์สินทางปัญญาของผู้พัฒนา ซอฟต์แวร์”

อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ. ศรายุทธให้ข้อมูลว่า คดีส่วนใหญ่ที่ทำการจับกุมนั้นสามารถตกลงยอมความกันได้ โดยตำรวจ ไม่มีส่วนร่วมกับการชำระค่าลิขสิทธิ์ระหว่างองค์กรและบริษัทผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์

ผู้ที่ต้องการแจ้งเบาะแสการใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ในองค์กรธุรกิจ สามารถโทรแจ้งได้ที่ สายด่วนต้านการละเมิด ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ 02-711-6193 ข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสจะถูกเก็บไว้เป็นความลับ รายละเอียดในเรื่องนี้สามารถ หาอ่านได้จากเว็บไซต์ www.stop.in.th หรือ www.bsa.org

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ 17 กันยายน 2551 12:25 น.

เตือนภาคธุรกิจหยุดใช้ซอฟต์แวร์เถื่อน เชื่อหลัง 15 ต.ค.จับแน่

เตือนภาคธุรกิจหยุดใช้ซอฟต์แวร์เถื่อน เชื่อหลัง 15 ต.ค.จับแน่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (16 ก.ย.51) กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี หรือ บก.ปศท.และกลุ่มพันธมิตรธุรกิจ หรือ บีเอสเอ ร่วมกันประกาศว่าตำรวจจะดำเนินการกับองค์กรธุรกิจที่ติดตั้งและ ใช้งานซอฟต์แวร์ ละเมิดลิขสิทธิ์อย่างเข้มงวดในวันที่ 15 ต.ค.51

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า จากการศึกษาของไอดีซี ถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะได้รับจากการลดอัตราการละเมิด ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์เมื่อเดือนมกราคม 2551 ระบุว่า หากประเทศไทยลดอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์บนเครื่อง คอมพิวเตอร์พีซีลงได้ 10% จะเกิดการจ้างงานทางด้านไอทีเพิ่ม 2,100 ตำแหน่ง การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ คิดเป็นมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 35,000 ล้านบาท และภาษีรายได้เพิ่มขึ้น 55 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2,275 ล้านบาท

พล.ต.อ.ศรายุทธ พูลธัญญะ รองผู้บังคับการ กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี หรือ บก.ปศท.กล่าวว่า การใช้ซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ทำให้ประเทศไทยเสียหายในเรื่องชื่อเสียงของประเทศ เนื่องจากปี 50 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้จัดอันดับประเทศไทยอยู่ในกลุ่ม PWL ถือเป็นกลุ่มที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ มากที่สุด จากเดิมตั้งแต่ปี37 ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่ม WL หรือกลุ่มประเทศที่ถูกจับตามองว่า จะมีการละเมิด ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์มากเท่าใด โดยทางบีเอสเอมีข้อมูลการละเมิดลิขสิทธิ์โปรแกรมคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว ว่าบริษัท ใดบ้าง และจะส่งมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการในวันที่15 ต.ค. นี้ หากยังไม่หยุดการใช้ซอฟต์แวร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์

รองผู้บังคับการ บก.ปศท.กล่าวต่อว่า คดีความที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์เป็นคดีความที่สามารถยอมความกันได้ และเป็นคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะจับกุมได้ต่อเมื่อมีเจ้าทุกข์เข้าแจ้งความเท่านั้น เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ สามารถ รู้ได้ว่ามีซอฟต์แวร์ตัวใดของบริษัทใดบ้างที่ละเมิดลิขสิทธิ์อยู่หากขาดเจ้าทุกข์ โดยช่วงครึ่งปี51 มีการจับกุม บริษัทฯที่ละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์จำนวน 45 ราย คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 125 ล้านบาท ในจำนวนนี้ มีการยอมความกันประมาณ 90% เนื่องจากบริษัทที่ละเมิดลิขสิทธิ์ยอมที่จะจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ให้เจ้าของซอฟต์แวร์ เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้

“ครั้งนี้ถือเป็นการเตือนให้องค์กรธุรกิจได้รับทราบอีกครั้งหนึ่งว่า จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายให้การติดตั้งซอฟต์แวร์ ละเมิดลิขสิทธิ์ต้องยุติลง ซอฟต์แวร์แท้ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องไม่เพียงมีข้อดีที่เห็นเด่นชัดหลายประการ เช่น ประสิทธิ์ภาพ การใช้งานและความปลอดภัยจะเป็นไปตามมาตรฐานที่รับรองโดยผู้ผลิต การใช้งานซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง จะช่วยส่งเสริมให้มีการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้งานมากขึ้น โดยตำรวจจะบังคับใช้กฎหมายกับ องค์กรธุรกิจ และผู้บริหารขององค์กรนั้นอย่างจริงจังเพื่อให้ได้ตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษซึ่งมีทั้งจำคุกและปรับในอัตรา ที่สูง” พล.ต.อ.ศรายุทธ กล่าว

ด้านนายดรุณ ซอว์นีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ ประจำภูมิภาคเอเชีย กลุ่มพันธมิตรธุรกิจ หรือ
บีเอสเอ กล่าวว่า ตนดีใจที่เจ้าหน้าที่ตำรวจของไทยประกาศดำเนินการตามกฎหมายกับองค์กรธุรกิจที่ติดตั้งและ
ใช้งานซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ โดยโครงการป้องปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ครั้งนี้จะแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยให้
ความสำคัญกับการปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างจริงจัง และหากการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในประเทศไทย
ลดลง ก็จะเป็นแรงจูงใจในการพัฒนาลิขสิทธิ์ ประจำภูมิภาคเอเชียของบีเอสเอ

“การปกป้องสิทธิด้านทรัพย์สินทางปัญญาของผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ครั้งนี้ สอดคล้องกับการขยับตัวครั้งล่าสุดของ บีเอสเอ ที่ประกาศเพิ่งเงินรางวัลสูงสุดให้แก่ผู้แจ้งเบาะแส ที่จะสามารถนำไปตับกุมองค์กรธุรกิจที่ใช้ซอฟต์แวร์ ละเมิดลิขสิทธิ์เป็นเงินรางวัล 500,000 บาท อย่างไรก็ตาม ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดยบริษัทคนไทยก็ยังถูกละเมิด และใช้กันทั่วไปในองค์กรธุรกิจ และครั้งนี้ถือเป็นการเตือนล่วงหน้า 30 วันก่อนจะจับจริงในวันที่ 15 ต.ค.51 เพื่อให้ธุรกิจเคารพสิทธิด้านทรัพย์สินทางปัญญาของผู้พัฒนาซอฟต์แวร์”ผอ.ฝ่ายปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ ประจำภูมิภาคเอเชีย กล่าว

ที่มา ไทยรัฐ 17 ก.ย. 51

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ตูน บอดี้สแลม รับเลิก ขิง ยัน ฝน ไม่ใช่มือที่สาม



ตูน บอดี้สแลม รับเลิก ขิง ยัน ฝน ไม่ใช่มือที่สาม
สุดท้ายรักก็ถึงทางตัน ยิ่งฝืนก็ยิ่งเจ็บ สำหรับร็อกเกอร์หนุ่ม "ตูน อาทิวราห์ คงมาลัย" วงบอดี้สแลม เปิดใจเลิกสาว "ขิง ทัศนพรรณ สิริสุขะ" อดีตแฟนสาว ที่คบกันมานานกว่า 5 ปี ด้วยสาเหตุที่ว่าไปกันไม่ได้ พร้อมออกมาเปิดใจว่าขณะนี้ได้คบหาดูใจกับ "ฝน นันทกา วรวณิชชานันท์" พิธีกรสาวรายการ "ไนน์เอ็นเตอร์เทน" ยันงานนี้ไม่มีรักซ้อนแน่นอน ล่าสุดผู้สื่อข่าวรักดาราเจอหนุ่มตูนก่อนขึ้นซ้อมคอนเสิร์ตในงาน "ประกวดของฮอตเวฟมิวสิคอวอร์ด ครั้งที่ 13 คบเด็กสร้างอัลบั้มรอบชิงชนะเลิศ" ณ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี ตูนเปิดใจว่า



"เลิกขิงแล้วครับ เลิกได้ 2-3เดือนแล้ว ถามว่าระยะเวลานานแค่ไหนที่มันเหลื่อมล้ำกันระหว่างขิงและฝน ผมก็ไม่อยากวัดระหว่างคนใหม่กับคนเก่า จริงๆ มันเป็นธรรมชาติของมันเอง ผมก็ไม่ทราบว่าคนนี้ออก หรือคนนี้เข้าอย่างไร เป็นแฟนมั้ยกัน ครับ ไม่รู้จะกั๊กทำไม ผมไม่ใช่ดาราผมเป็นนักร้อง (หัวเราะ) ผมเล่นละครอะไรไม่ได้ ผมเป็นได้แค่ก้อนหินกับต้นไม้ แข็งมาก (หัวเราะ) เรารู้จักกันมานานแล้ว เขาก็ทำงานอยู่ในแกรมมี่ ก็เจอกันก็รู้ว่าเป็นอย่างไร ก็คบกันมาประมาณสองเดือน อย่างงานนี้เขาก็มาทำงานด้วย เพราะเขาเป็นเออีอยู่ที่แกรมมี่ ผมไม่ค่อยอยากปิดอะไรหรอก ผมเต็มที่กับทุกคน แต่ผมไม่ได้คบฝนตอนมีขิงอยู่ด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าคบซ้อนกัน มีเขาเข้ามาในชีวิตก็ดีครับ (ยิ้ม) ได้เรียนรู้ เหมือนกับเวลาที่เราไม่รู้จักคนนี้มาก่อนเราก็อยากเรียนรู้อีกสักคนหนึ่ง มันก็อยู่ในช่วงเรียนรู้ ก็ตื่นเต้นครับ"